27 กันยายน 2554

กบฏแห่งหัวใจ : The Defiant Hero By Suzanne Brockmann

กบฏรักแห่งหัวใจ : The Defiant Hero

กว่าสามเดือน ไม่น่าเชื่อว่าเราไม่ได้อ่านนิยายแนวสืบสวนเลย ไม่ใช่ว่าหันหลังเลิกชอบนะคะแต่เพราะไม่มีแปลออกมาต่างหาก ทั้งโหยหาและเซ็ง สุด ๆ เลยล่ะ ฉะนั้นอย่าแปลกใจเมื่อเราไม่ลังเลสักนิดที่จะแซงคิวเรื่องอื่นหยิบเล่มนี้มา อ่านทันทีที่ได้รับกล่องไปรษณีย์มาส่งมือไม้สั่น


กบฏแห่งหัวใจ : The Defiant Hero By  Suzanne  Brockmann
เกรชพับลิชชิ่ง  แปล : พิชญา

ชุด ทรับเบิลชูตเตอร์  เล่มที่สองต่อจาก รักนี้ชั่วนิรันดร (The Unsung Hero)  เริ่มเรื่องได้ตื่นเต้นเมื่อ มาร์กาเร็ต เดอแลนซี่ มัวร์  เจ้าหน้าที่สถานทูต พบฝันร้ายกลางวันแสก ๆ เมื่อเธอได้เผชิญหน้ากับผู้ก่อการร้ายหัวรุนแรงชาวคาซเบคิสถานพร้อมกับบอก ข่าวร้ายให้รู้ว่าตอนนี้ลูกสาววัยสิบขวบและยายของเธอถูกจับเป็นตัวกันแล้ว และขึ้นอยู่เธอที่จะทำให้ทั้งสองมีชีวิตรอดปลอดภัย  ข้อแลกเปลี่ยนคือเม็กต้องใช้ฐานะที่เธอทำงานสถานทูต คาซเบคิสถานหาตัว ออสมาน  ราชีน ผู้นำกลุ่มกองกำลังอิสลามแห่งคาซเบคิสถานคู่แข่งของกลุ่มหัวรุนแรงและฆ่าเขา ซะ  ด้วยความสิ้นหวังเม็กรู้ตัวเองดีว่าเธอคงไม่มีทางทำเรื่องนี้ได้สำเร็จ เพียงลำพัง และถ้ามีใครสักคนที่เม็กจะขอความช่วยเหลือได้คงมีเพียง จอห์น นิลสัน ผู้นำหน่วยซีลที่ 16 กองทัพเรือสหรัฐอเมริกา
 จอห์น พบเม็กครั้งแรกเมื่อสามปีก่อนขณะที่เขาและทีมหน่วยซีลทำภารกิจช่วยเหลือใน สถานทูต คาซเบคิสถาน ทั้งคู่เริ่มต้นจากมิตรภาพแบบเพื่อน สงวนท่าทีและระมัดระวังที่จะไม่แสดงความสนใจกันและกันอย่างเปิดเผย แต่จอห์นก็ไม่อาจห้ามความรู้สึกที่มีต่อเธอไปได้ทั้งที่รู้เต็มอกว่าเธอเป็น ของต้องห้าม มีเจ้าของแล้วก็ตาม  เขาเก็บกักความต้องการเม็ก เพราะอยากจะทำให้เป็นเรื่องที่ถูกต้อง ยับยั้งใจตัวเองไม่ให้ข้ามเส้นแบ่งของศีลธรรมและเดินจากเธอไป  ในสถานการณ์ที่เม็กจับตัวทูตของคาซเบคิสถาน กับเจ้าหน้าที่ทูตอีกสองคน เป็นตัวประกัน เธอจึงเป็นสุดท้ายในชีวิตที่เขาคิดว่าจะเห็นยืนถือปืนคุมตัวประกันใน สถานการณ์รุนแรงแบบนี้
 พลอตเล่มนี้ใกล้เคียงเล่มแรก นางเอกเป็นคนรักเก่าที่มีโอกาสหวนกลับมาเจอกันอีกครั้งและเป็นเสมือนการให้ โอกาสครั้งที่สองกับจอห์นที่จะได้สานต่อความสัมพันธ์เมื่อเม็กเป็นอิสระไร้ ข้อผูกมัด แต่หลังจากสามปีที่จากกันเม็กกลายเป็นผู้หญิงอีกคนจอห์นพบว่าเธอเพียงหลอก ใช้เขาเพื่อทำตามวิธีการของเธอพลิกสถานการณ์และฉวยโอกาสหลบหนีพร้อมกับ เสี่ยงตายเพื่อช่วยลูกสาว แต่การต่อต้านและรับมือกับผู้ก่อการร้ายเป็นงานถนัดของเขา ถ้าเพียงแต่เม็กเชื่อและไว้ใจจอห์น

“ช่วยผม...ด้วยการยอมให้ผมช่วย”

ช่วงต้นเรื่องเราไม่มีปัญหากับพลอตรักต้องห้ามเรื่องนี้ค่ะ เพราะทั้งคู่ไม่มีพฤติกรรมให้ชวนไม่น่าไว้ใจ จอห์นย้ำกับตัวเองเสมอว่าเม็กเป็นผู้หญิงที่เขาไม่สมควรแตะต้อง เม็กคิดว่าตัวเองเป็นแค่เพื่อนแก้เหงาฆ่าเวลา เธอไม่เคยหวังว่าเขาจะจริงจังอาจเพราะจอห์นมีอายุอ่อนกว่าเธอถึงหกปี  เป็นธรรมดาที่พระเอกเป็นมืออาชีพและเราต้องลุ้นนางเอกว่าเธอดื้อจนทำพาตัว เองไปตกอยู่ในอันตรายรึเปล่า หรือทำผิดพลาดแบบโง่ ๆ ซึ่งสุดท้ายก็พระเอกน่ะแหล่ะมาช่วยเธอให้รอด เรื่องนี้เช่นกันค่ะ จอห์นพยายามทุกทางพูดโน้มน้าวให้เม็กวางมือและปล่อยให้มืออาชีพจัดการปัญหา แทน มีเรื่องให้บ่นนิดเดียวว่า เราเพียงต้องการให้เม็กเชื่อถือจอห์นให้เร็วกว่านี้ ซึ่งต้องแลกมาด้วยคำสารภาพรักทั้งน้ำตา เราชื่นชมจอห์นนะคะ
 นอกจากเรื่องนี้จะโฟกัสไปที่จอห์นและเม็กแล้ว บางส่วนของหนังสือยังถูกตัดสลับไปยังคู่ของแซม เพื่อนร่วมงานของจอห์น ชายหนุ่มชาวเท็กซัส ทั้งกวนโมโหและปากเสีย และล็อค อดีตนักแม่นปืนของกองทัพยูเอสเอ ซึ่งถูก เอฟบีไอ ดึงตัวไปร่วมงานสนามในหน่วยต่อต้านผู้ก่อการร้าย เธอถวิลหาการเข้าร่วมกับหน่วยซีลมาตลอด แต่ติดตรงที่เธอเป็นผู้หญิง แถมยังเป็นผู้หญิงที่สวยสุดยอดซึ่งทำงานท่ามกลางหนุ่มเป็นโขยง  ล้อคจึงมักใช้ความเยือกเย็นและควบคุมตัวแทบตลอดเวลาเป็นเปลือกห่อหุ้มตัวตน ที่แท้จริงของเธอ เยือกเย็นถึงขนาดแซมโมโหหลุดปากตะโกนใส่หน้าเธอว่า ฟัดยู  เชียวล่ะ คู่นี้น่าสนใจค่ะ แต่เป็นเล่มที่ 6 ซึ่งถือว่านานมาก ๆ
อีกคู่จะเป็นคู่ของอีฟซึ่งเป็นยายของเม็ก จะมีฉากที่เล่าย้อนกับไปเมื่อกว่าห้าสิบปีที่แล้วช่วงพบรักกับครูสอนหนังสือ แต่เพราะสงครามสมัยฮิตเล่อร์ทำให้ต้องพรากจากกันไปถึงห้าปี คู่นี้ก็น่ารักและอบอุ่นอ่อนหวานคนละอารมณ์ไปอีกแบบค่ะ สรุปแล้ว สมใจอยากอ่าน ไม่ผิดหวังเลย อ่านแล้วไม่เครียดเหมือนเล่มหนึ่ง  และยังคงรู้สึก  กรี๊ดดดด ๆๆๆ   หนุ่มซีลเช่นเดิมและมากเพิ่มขึ้นไปอีกในเล่มนี้ค่ะ


คะแนนความพอใจ  8/10

ไม่มีความคิดเห็น: